หน้าที่สำคัญของเลือด
"เลือด" เป็นของเหลวสีแดงที่ไหลเวียนอยู่ภายในหลอดเลือดไปทั่วทุกซอก ทุกมุมในร่างกาย โดยสูบฉีดจากหัวใจที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่เกิดจนตายโดยไม่มีค่าโอที ไม่มีวันหยุดราชการทำหน้าที่สำคัญ คือ
1. ขนส่งก๊าสออกซิเจนจากการหายใจเข้า และลำเลียงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายเมื่อหายใจออก
2. ขนส่งสารอาหารโดยการดูดซึมสารอาหารจากกระเพาะอาหาร และลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดแล้วไหลเวียนผ่านไปยังตับ และส่งต่อให้เซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะทุกอวัยวะในร่างกาย
3. ทำหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในเวลาที่ร่างกายขาดน้ำ ขาดเกลือแร่ที่จำเป็น เลือดจะทำหน้าที่รักษาสมดุลไม่ให้มีมากไปหรือน้อยไป
4. ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่โดยการไหลเวียนไปทั่วร่างกาย
นอกจากนั้น เลือดยังเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ให้อยู่รอดไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ การผ่าตัด หรือแม้แต่ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ สภากาชาดและโรงพยาบาลทุกแห่งทั่วโลกจึงจำเป็นต้องมีเลือดสำรองไว้เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยในยามจำเป็น มีนักวิทยาศาสตร์ได้พยายามค้นคว้ามาเป็นเวลานานในการหาสารประกอบอื่นมาใช้ทดแทนเลือด แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ฉะนั้น จึงจำเป็นที่ต้องให้เลือดจากมนุษย์บริจาคให้แก่กัน ซึ่งองค์ประกอบต่างๆในเลือดมีหน้าที่ต่างกันไป ดังนี้
เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่นำออกซิเจนที่ได้จากปอดไปเลี้ยงเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกาย โดยอาศัยฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) เป็นตัวนำออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ต่างๆ และพาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากเซลล์เพื่อกำจัดออกจากร่างกายในกระบวนการต่อไป การขาดเม็ดเลือดแดงจะทำให้เป็นโรคโลหิตจางได้ ดังนั้น เม็ดเลือดแดงจึงมีความจำเป็นอย่างมากในการนำไปรักษาผู้ป่วยจากอุบัติเหตุ การผ่าตัด หรืออาการซีดจากความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง เช่น โลหิตจาง ธาลัสซีเมีย โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาการไหลเวียนของเลือดย่อมทำให้อวัยวะต่างๆขาดสารอาหาร และได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่างๆตามมาได้อีกหลายโรค
เม็ดเลือดขาว มีหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกัน เปรียบเสมือนเป็นกองทัพทหารที่คอยป้องกันการรุกล้ำจากสิ่งแปลกปลอมทุกชนิด ซึ่งมันจะคอยทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมให้แก่ร่างกาย เซลล์เม็ดเลือดขาวมีอายุประมาณ 2 -3 วัน โดยเม็ดเลือดขาวแบ่งออกเป็น 5 ชนิด ด้วยกันคือ
-
Neutrophil (นิวโทรฟิล) มีบทบาทสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราและจุลชีพอื่นๆที่ก่อให้เกิดการอักเสบภายในร่างกาย เม็ดเลือดขาวชนิดนี้เป็นเหมือนด่านแรกของการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันหากร่างกายได้รับเชื้อโรค ซึ่งถ้ามีการทำงานหรือเกิดการตายขึ้นจะแสดงออกมาในรูปของหนอง
-
Lymphocyte (ลิมโฟไซต์) มีหน้าที่ต้านสิ่งแปลกปลอม เช่น ไวรัสที่อาจก่อให้เกิดภูมิแพ้
-
Monocytes (โมโนไซต์) มีหน้าที่คล้ายคลึงกับ Neutrophil สามารถกินเชื้อจุลินทรีย์ แบคทีเรีย และยีสต์ได้
-
Basophils (บาสโซฟิลส์) มีบทบาทสำคัญในปฏิกิริยาภูมิแพ้ และสามารถหลั่งสารฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้อย่างรุนแรง
-
Eosinophils (อีโอซินโนฟิลส์) ทำหน้าที่หลั่งเอนไซม์หรือสารฮีสตามีน (Histamine) เพื่อทำลายพวกพยาธิ (parasite) ต่างๆ และจะตอบสนองเพิ่มขึ้นเมื่อมีพยาธิต่างๆ หรือเป็นโรคภูมิแพ้
เกล็ดเลือด (Platelet) มีหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับการห้ามเลือดโดยตรง โดยจะรวมตัวเป็นกระจุก (Platelet plug) อุดตรงบริเวณที่มีหลอดเลือดฉีกขาด เราจะสังเกตเห็นได้ชัดเมื่อเรามีบาดแผลที่ผิวหนัง เมื่อเรากดแผลไว้สักครู่เลือดจะหยุดไหลได้นั่นเป็นเพราะเกล็ดเลือดได้ทำหน้าที่มาอุดบริเวณบาดแผลนั่นเอง นอกจากนี้แล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในกลไกการแข็งตัวของเลือด โดยเป็นปัจจัยในการแข็งตัวของเลือด (platelet factors I, II, III และ IV) อีกด้วย หน้าที่อื่นนอกจากนี้คือ การนำสารต่างๆไปกับตัวเกล็ดเลือดด้วย คือ สารซีโรโทนิน (serotonin) สารอะดรีนาลีน (adrenaline) และนอร์อะดรีนาลีน (noradrenaline) เกล็ดเลือดสามารถหลั่งสารที่เป็นปัจจัยในการเติบโต (platelet-released growth factors) เหนี่ยวนำให้เกิดสารต้านจุลชีพ และยังพบอีกว่า เกล็ดเลือดสามารถจับมวลสารขนาดเล็ก เช่น ไวรัสได้ด้วย ดังนั้น เกล็ดเลือดจึงมีความสำคัญในการต่อต้านเชื้อโรคด้วย
ในคนที่มีปัญหาเกล็ดเลือดต่ำ หรือทานยาละลายลิ่มเลือดจะเกิดปัญหาเลือดไหลไม่หยุด ซึ่งต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดบาดแผล
ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) คือ ส่วนประกอบสำคัญของเลือดที่ขาดไม่ได้ เพราะมีหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย ความผิดปกติเพียงเล็กน้อยของระดับฮีโมโกลบินในเลือดอาจเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพหลายประการ หากมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับฮีโมโกลบินเพียงพอจะช่วยให้ตระหนักถึงความเสี่ยงและเตรียมพร้อมรับมือปัญหาสุขภาพได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดความผิดปกติของระดับฮีโมโกลบิน
นอกจากนั้น ฮีโมโกลบินยังทำหน้าที่ช่วยรักษารูปร่างของเม็ดเลือดเเดงให้เป็นปกติ คือ มีลักษณะเป็นวงกลมและตรงกลางเว้าคล้ายโดนัท แต่ไม่เป็นรูหากโครงสร้างฮีโมโกลบินผิดปกติไปจะส่งผลให้เม็ดเลือดแดงมีรูปร่างแปลกออกไป และอาจไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือดให้เกิดความไม่สะดวกได้
การตรวจหาความผิดปกติของฮีโมโกลบิน
ด้วยความสำคัญของฮีโมโกลบินที่มีต่อร่างกายและเป็นตัวบ่งบอกถึงความสมบูรณ์ของเลือด การตรวจเช็คความผิดปกติของร่างกาย หรือความผิดปกติของฮีโมโกลบินจึงสำคัญ โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะตรวจวัดระดับ หรือตรวจชนิดฮีโมโกลบิน หากสงสัยว่าอาการเจ็บป่วยอาจเกิดจากความผิดปกติของฮีโมโกลบิน โดยวิธีตรวจที่นิยมใช้ ได้แก่
-
การตรวจวัดความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count : CBC)
เป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด เนื่องจากจะช่วยระบุได้ว่าผู้ป่วยมีระดับฮีโมโกลบินสูงหรือต่ำกว่าปกติ ซึ่งระดับฮีโมโกลบินที่ผิดปกติอาจบ่งบอกถึงโรคบางชนิดได้
-
การตรวจชนิดของฮีโมโกลบิน (Hemoglobin Electrophoresis)
เป็นการตรวจชนิดของฮีโมโกลบินในเลือดโดยเฉพาะช่วยให้แพทย์ระบุอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น วิธีนี้ใช้วินิจฉัยโรคโลหิตจางบางชนิด ตรวจวัดการรักษาโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของฮีโมโกลบิน รวมทั้งตรวจประเมินความเสี่ยงในการถ่ายทอดพันธุกรรมโรคโลหิตจางไปสู่ลูก
ระดับฮีโมโกลบินในเลือดควรมีปริมาณเท่าไหร่ ?
คนปกติมีระดับฮีโมโกลบินแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ได้แก่ เพศ อายุ ความสูง รวมทั้งพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ซึ่งระดับฮีโมโกลบินโดยทั่วไปควรแสดงค่า ดังนี้
- เด็กแรกเกิด มีค่าฮีโมโกลบิน 14 - 24 กรัมต่อเดซิลิตร
- ทารก มีค่าฮีโมโกลบิน 9.5 - 13 กรัมต่อเดซิลิตร
- ผู้ชาย มีค่าฮีโมโกลบิน 13.8 - 17.2 กรัมต่อเดซิลิตร
- ผู้หญิง มีค่าฮีโมโกลบิน 12.1 - 15.1 กรัมต่อเดซิลิตร
ทั้งนี้ ระดับฮีโมโกลบินที่ตรวจวัดจริงอาจแตกต่างจากข้างต้นได้เล็กน้อยขึ้นอยู่กับวิธีตรวจและเกณฑ์การวัด ผู้รับการตรวจควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับผลการตรวจโดยละเอียดจะดีที่สุด
ระดับฮีโมโกลบินในเลือดนั้นสามารถบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพได้ เนื่องจากการลดลงหรือเพิ่มขึ้นของระดับฮีโมโกลบินที่ผิดปกตินั้นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆได้มากมาย เช่น ภาวะขาดสารอาหาร โรคเกี่ยวกับไขกระดูก โรคมะเร็งบางชนิด โรครูมาตอยด์ และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เป็นต้น
(อ้างอิงจาก : วิน เชยชมศรี. (2562). เลือดจระเข้, (1), 23-42.)